Christina Grace จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ยื่นฟ้อง Apple โดยกล่าวหาว่า Apple จงใจทำให้ FaceTime ใน iOS 6 ใช้งานไม่ได้ แล้วบังคับให้ลูกค่าอัพเกรดเป็น iOS 7 หากต้องการใช้งาน FaceTime ได้ปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับ Akamai
การฟ้องร้องนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการพบเอกสารของ Apple ซึ่งเปิดเผยให้เห็นคดีความที่ VirnetX ฟ้องร้อง Apple ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยี peer-to-peer ใน FaceTime และทำให้ Apple ต้องจ่ายเงินให้กับ VirnetX เป็นจำนวน 302 ล้านดอลล่าร์ หรือราว 1 หมื่นล้านบาท
ฟีเจอร์ FaceTime เริ่มถูกใช้งานในปี 2010 โดยการสื่อสารนั้นจะใช้วิธี peer-to-peer หรือเชื่อมต่อโดยตรงระหว่าง iPhone ทั้ง 2 เครื่อง อีกวิธีคือใช้ดาค้าเซิร์ฟเวอร์ของ Akamai แต่หลังจาก Apple ถูกฟ้องร้องเรื่องละเมิดสิทธิบัตรของ VirnetX จึงเริ่มเปลี่ยนมาใช้บริการของ Akamai เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปีต่อมา Apple ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับ Akamai เป็นจำนวน 50 ล้านดอลล่าร์ หรือราว 1.75 พันล้านบาท เมื่อค่าใช้จ่ายในการให้บริการ FaceTime เพิ่มสูงขึ้น Apple จึงตัดสินใจพัฒนาเทคโนโลยี peer-to-peer ของตัวเองขึ้นมาและเปิดตัวพร้อมกับ iOS 7
และนั่นเป็นมูลเหตุที่ทำให้ Apple ถูกฟ้องร้องล่าสุด โดยถูกกล่าวหาว่าตั้งใจทำให้ FaceTime บน iOS 6 เกิดข้อผิดพลาด แล้วบีบบังคับให้ลูกค้าอัพเกรดไปใช้ iOS 7 แทน หากต้องการใช้ฟีเจอร์ FaceTime ซึ่งการอัพเกรดระบบปฏิบัติการไปเวอร์ชั่นที่ใหม่กว่า ไม่ได้ส่งผลดีเท่าไรนักกับเจ้าของ iPhone รุ่นเก่า โดยเฉพาะ iPhone 4s และ 4 เพราะทำให้การทำงานของสมาร์ทโฟนช้าลง และเกิดข้อผิดพลาดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า iOS 7 ถูกติดตั้งไปแล้วถึง 87% ในวันที่ 7 เมษายน 2014 หรือ 10 วันก่อนที่ Apple จะถูกกล่าวหาว่าจงใจทำให้ FaceTime บน iOS 6 เกิดข้อผิดพลาด
ทั้งนี้ คดีความยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน
ที่มา – MacRumors
http://www.flashfly.net/wp/?p=173141