แอลจีเผยผลประกอบการปี 2559 พร้อมไตรมาสที่ 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศและกลุ่มผลิตภัณฑ์ โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์มีผลกำไรจากการดำเนินงานสูงสุดในปี 2559
แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ (แอลจี) เผยผลกำไรจากการดำเนินงานประจำปี 2559 อยู่ที่ 1.16 พันเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.06 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี 2558 อยู่ที่ 12.2 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลประกอบการที่โดดเด่นจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ สำหรับรายได้ตลอดปี 2559 อยู่ที่ 47.92 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.68 ล้านล้านบาท) และมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 109.31 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.83 พันล้านบาท)
ยอดขายประจำไตรมาสที่ 4 ในปี 2559 อยู่ที่ 12.79 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.48 แสนล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 11.7 เปอร์เซ็นต์และสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558 ที่ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ และกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์มีกำไรจากการดำเนินงานสูงสุดในรอบปี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากงบขาดทุนจากกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือและกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ แอลจีได้รายงานงบขาดทุนสุทธิประจำไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 223.98 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7.84 พันล้านบาท)
สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ รายงานรายได้ตลอดปี 2559 อยู่ที่ 14.92 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5.22 แสนล้านบาท) และรายได้สำหรับไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 12.3 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 5.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากยอดขายที่โดดเด่นในตลาดเกาหลีและอเมริกาเหนือซึ่งเป็นตลาดที่สินค้า เช่น เครื่องซักผ้า LG Twin Wash และตู้เย็น LG Door-in-Door ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ รายได้จากการประกอบการจำนวน 1.15 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.03 หมื่นล้านบาท) ในปี 2559 เพิ่มขึ้น 36 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2558 และยังเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในบรรดากลุ่มผลิตภัณฑ์แอลจีทั้งหมด
กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เผยรายได้ประจำไตรมาสที่ 4 ที่ 4.15 พันล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ 1.45 แสนล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 15.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส โดยเป็นผลจากยอดขายที่โดดเด่นจากทีวีระดับพรีเมี่ยม LG OLED TV และ LG 4K Ultra HD TV ในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรปและเอเชีย ผลกำไรจากผลประกอบการตลอดทั้งปีอยู่ที่ 1.07 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.75 หมื่นล้านบาท) ซึ่งนับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ และรายได้ประจำปี 2559 ที่ 15.08 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 5.28 แสนล้านบาทซึ่งเป็นรายได้ที่มากที่สุดในบรรดากลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของแอลจี คาดการณ์ว่า LG SIGNATURE OLED TV ซีรี่ย์ W7 ที่ได้รับรางวัลและไลน์อัพที่เพิ่มขึ้นของ LG OLED TV ซึ่งเปิดตัวภายในงาน CES 2017 จะช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำของแอลจีในอุตสาหกรรมทีวีระดับพรีเมี่ยม ในขณะที่บริษัทอื่นๆ จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ OLED TV ภายหลังในปี 2560 นี้
กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ รายงานรายได้ประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2559 อยู่ที่ 2.51 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8.79 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 15.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เป็นผลจากยอดขายที่โดดเด่นของสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่น V20 อย่างไรก็ตาม ผลกำไรสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ต้องหยุดชะงักลงจากยอดขายที่ไม่ค่อยดีนักของสมาร์ทโฟนรุ่น G5 และการลงทุนทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น คาดว่าการเปิดตัวสมาร์ทโฟน ซีรี่ย์ G และอุปกรณ์มือถือในราคาที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ในไตรมาสที่ 2 หลังจากงานโมบายเวิลด์คองเกรสจะช่วยให้กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือเติบโตในตลาดได้ในปี 2560
กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ ปิดท้ายปีด้วยยอดขายจำนวน 2.40 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8.40 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 51 เปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว และมีรายได้ประจำไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 749.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.62 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 66.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตที่โดดเด่นของชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและระบบอินโฟเทนเมนต์ ยอดขายในแต่ละไตรมาสของปี 2559 เติบโตอย่างมั่นคง แต่การลงทุนด้านการวิจัยและการพัฒนาได้ส่งผลต่อกำไร คาดว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ของแอลจีจะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันด้านผลิตภัณฑ์ในปี 2560 ได้จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเชฟโรเลตซึ่งร่วมกับแอลจี รวมถึงความต้องการในตลาดที่สูงขึ้นสำหรับชิ้นส่วนไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับระบบอินโฟเทนเมนต์ในรถยนต์และระบบความปลอดภัย
ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในไตรมาสที่ 4 ของปี 2559
รายได้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบด้านบัญชีประจำไตรมาสของแอลจี อีเลคทรอนิคส์เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ IFRS (International Financial Reporting Standards) สำหรับช่วงสามเดือน สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของสามเดือนในไตรมาสเดียวกัน โดยอัตราแลกเปลี่ยน ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2559 อยู่ที่ 35 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ (ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย)