ในปีนี้เราได้เห็นการเปิดตัวสินค้าที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่นเตาอบ Plus Smart ที่มีกล้องติดตั้งอยู่ภายในซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถถ่ายทอดสดการทำเนื้ออบให้ทุกคนได้ชมกัน ไปจนถึงเครื่อง Smarter Coffee ที่รวบรวมเทคโนโลยีด้านต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้คุณสามารถชงกาแฟที่เข้มขึ้นได้
อย่างไรก็ตามความ “ฉลาดล้ำสมัย” ในเครื่องใช้ประจำวันนั้นจะมีความสำคัญก็ต่อเมื่อมันอยู่ในมือของเราเท่านั้น โดยไม่นานมานี้ยักษ์ใหญ่แห่งวงการสมาร์ทโฟนอย่างแอปเปิลและหัวเว่ยได้ขับเคี่ยวกันอย่างหนักเพื่อนำเสนอสิ่งที่เรียกว่า ‘สมาร์ทโฟนแห่งอนาคต’ อย่างในทุกวันนี้
ดังนั้นเราจึงสรุปฟีเจอร์แห่งอนาคตที่ดีที่สุดที่กำลังจะสร้างสรรค์ได้สำเร็จในเร็ววันนี้ได้แก่
สัมผัสอัจฉริยะ
อุปกรณ์ประเภท Smart Device ทั้งหลายนั้นมักพึ่งพาระบบสัมผัส แต่สมาร์ทโฟนแห่งอนาคตได้ก้าวไปไกลกว่านั้น เมื่อหัวเว่ยเปิดตัวระบบ Force Touch สู่ตลาดก่อนแอปเปิล (ไอโฟน 6s และไอโฟน 6s Plus เปิดตัวเทคโนโลยีนี้ช้ากว่า 2-3 วันในงาน IFA 2015) โดย Force Touch คือ ฟีเจอร์ตรวจจับแรงกดซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถซูม ค้นหา และเลือกเปิดแอปพลิเคชันได้โดยขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของแรงกดบนจอสัมผัส นอกจากนั้นยังทำให้สามารถชั่งน้ำหนักสิ่งของได้ด้วยสมาร์ทโฟน ดังที่หัวเว่ยได้สาธิตไว้ในงาน IFA ด้วยการวางผลส้มไว้บนเครื่อง Huawei Mate S ซึ่งชั่งน้ำหนักผลส้มได้ 280 กรัม
นอกจากฟีเจอร์ Force Touch แล้ว Huawei Mate S ยังได้นำเทคโนโลยีการตรวจจับการเคาะด้วยข้อนิ้วมือจาก Huawei P8 มาพัฒนาต่อ ทำให้ผู้ใช้สามารถตั้ง Shortcut แบบต่าง ๆ และเลือก Crop กับ Copy รูปภาพด้วยการใช้ข้อนิ้วมือได้ อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถแตะหน้าจอด้วยข้อนิ้วมือเพื่อจับภาพหน้าจอและแชร์วิดีโอได้ โดยเทคโนโลยีการสัมผัสนี้ถูกติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังของเครื่อง Huawei Mate S ซึ่งมีเซ็นเซอร์ที่ทำให้การเลื่อนหรือการค้นหาด้วยมือเดียวง่ายยิ่งขึ้น
Huawei Mate S รุ่นใหม่ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ Force Touch ทำให้ผู้ใช้สามารถซูม และขยายรูปภาพได้ด้วยการใช้แรงกด
รูปภาพสมบูรณ์แบบ
ทุกวันนี้อุปกรณ์ Smart Device ทั้งหลายได้เข้ามาแทนที่กล้องดิจิตอลเรียบร้อยแล้ว และแม้แต่ช่างภาพมืออาชีพก็ยังยอมควักเงินหลายพันดอลลาร์เพื่อซื้อความสะดวกและความสามารถในการปรับแต่งรูปภาพของสมาร์ทโฟน ขณะที่สมาร์ทโฟนแห่งอนาคตเองก็ได้รับการออกแบบมาให้สามารถถ่ายภาพระดับมืออาชีพได้เป็นอย่างดีแถมยังมีฟีเจอร์สนุกๆแถมมาให้อีกด้วย
แน่นอนว่าจำนวนตัวเลขพิกเซลอาจไม่ใช่ทุกสิ่ง และเหล่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนทั้งหลายเองก็กระตือรือร้นที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้มากกว่าการเพิ่มจำนวนตัวเลขพิกเซลนี้ โดยใน Huawei G7 Plus นั้นจะมีรูรับแสง F2.0 และเลนส์ BSI ขนาด 28 มิลมิเมตรแบบมุมกว้างที่ป้องกันการสั่นสะเทือนและขับเคลื่อนโดยเซ็นเซอร์แบบ RGBW ตลอดจนระบบประมวลผลสัญญาณภาพที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ และเป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกันกับที่ใช้กันในกล้อง DSLR สำหรับการถ่ายภาพแบบมืออาชีพ ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้ความชำนาญในการถ่ายภาพเนื่องจากระบบป้องกันการสั่นสะเทือนนั้นช่วยให้ได้ภาพถ่ายที่คมชัดกว่าในทุกสภาพแสง แม้จะถ่ายโดยมือที่สั่นมากก็ตาม
G7 Plus มีฟีเจอร์กล้องที่โดดเด่นและฟีเจอร์ Fingerprint 2.0 ที่จะช่วยให้คุณเก็บภาพความประทับใจด้วยความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
สร้างความหลากหลายและชัยชนะ
สมาร์ทโฟนในปัจจุบันนั้นถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของการ “ออกแบบเพื่อคนส่วนใหญ่” (“one-size-fits-most”) ซึ่งอาจเลือนหายไปในอนาคต สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวสู่ตลาดนั้นถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น แบรนด์ Marshall London ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในแวดวงอุปกรณ์ดนตรีกำลังกระโดดเข้าสู่ธุรกิจสมาร์ทโฟนพร้อมกับอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อคนรักดนตรีโดยเฉพาะ ด้วยการนำเสนอลำโพงหน้าแบบคู่ สายต่อหูฟังแบบสองรู และแอปพลิเคชันสำหรับฟังเพลงและมิกซ์เพลงที่ติดมากับเครื่อง รวมถึงไปถึงซาวด์การ์ดแบบ Wolfson WM8281 Audio Hub
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ Acer Predator 6 ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่มีหน่วยประมวลผลแบบ 10-core และแรม 4 GB ซึ่งหมายถึงสมรรถนะในการประมวลผลอันมหาศาล ที่มาพร้อมกับลำโพงหน้าสี่ตัวและระบบการสั่นสะเทือนจากมอเตอร์แบบคู่เพื่อให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์ในการเล่นเกมที่เหนือระดับ โดย Acer Predator 6 มีกำหนดออกวางตลาดในช่วงปลายปี 2015 ถึงต้นปี 2016 เช่นเดียวกันกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในงาน IFA 2015 อีกหลายชิ้น ดังนั้นคนรักเทคโนโลยีทั้งหลายจึงอาจจะต้องรออีกสักหน่อยจึงจะได้พบกับเทคโนโลยีแห่งอนาคต