เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมาเป็นวันแรกที่ Apple ได้วางจำหน่าย Apple Watch อย่างเป็นทางการในประเทศไทยซึ่งได้รับเสียงตอบรับแฟนๆ Apple เป็นอย่างดีเช่นเคยโดย Apple ได้วางจำหน่ายผ่านทางตัวแทนจำหน่าย iStudio ทั้ง 11 สาขาและจำหน่ายผ่านทางร้านค้าออนไลน์ Apple Onlne Store ในประเทศไทย โดยสาขาสยามพารากอนและดิเอ็มควอเทียร์จะมี Apple Watch Edition รุ่นทองคำ 18K จำหน่ายอีกด้วย
สำหรับราคาของ Apple Watch นั้นในรุ่น Sport ตัวเรือนอะลูมิเนียมมีให้เลือก 10 รุ่นราคาระหว่าง 13,500 บาทถึง 15,500 บาท รุ่นตัวเรือนสแตนเลสสตีลมี 20 รุ่นราคาระหว่าง 20,500 บาทถึง 41,500 บาท และในรุ่น Edition ตัวเรือนทองคำ 18 กะรัตมี 8 รุ่นราคาระหว่าง 395,000 บาทถึง 660,000 บาท
โดยทีมงาน @flahfly ได้ Apple Watch รุ่นตัวเรือนสแตนเลสสตีลสาย Sport Band สีขาวขนาด 42 มม.ราคาจำหน่ายทางการ 22,500 บาทมาทดสอบเป็นที่เรียบร้อย มาดุกันว่าหน้าตาตัวกล่องแพคเกจของ Apple Watch จะเป็นอย่างไรบ้างรวมถึงวิธีการจับคู่ระหว่าง iPhone กับ Apple Watch จะทำได้ย่างไร
เริ่มที่ตัวแพคเกจจะเป็นกล่องสีเหลี่ยมจตุรัสสีขาวขนาดใหญ่ต่างจากรุ่น Apple Watch Sport ที่เป็นกล่องสีเหลี่ยมแบนราบ ด้านบนจะปั้มโลโก้ Apple Watch ลงไป ที่ด้านข้างจะบอกรุ่น สาย และขนาดของตัวเรือน
ที่ด้านหลังจะมีรายละเอียดพร้อมสเปคต่างๆของ Apple Watch เป็นภาษาไทย รวมถึงข้อกำหนดต่างๆในการใช้งานแบบสั้นๆ
เมื่อเปิดฝากล่องออกมาจากทางด้านบนก็จะพบกับกล่องพลาสติกสีขาวขัดมันมีโลโก้ Apple ตรงกลางอยู่ด้านบนสุด
เมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับ Apple Watch รุ่นตัวเรือนสแตนเลสสตีลสาย Sport Band สีขาวสวยงามอยู่ในลักษณะนี้ ด้านในกล่องพลาสสิกจะคล้ายกำมะหยี่ดูหรูหราสวยงามมีโลโก้ Apple Watch ที่ฝาด้านบนอีกด้วย
ตัวกระจกทำจากผลึกแซฟไฟร์ซึ่งแข็งเป็นพิเศษ จอภาพ Retina ขนาด พร้อมรองรับ Force Touch
ด้านข้างจะมีปุ่มดิจิตอลคราวน์และปุ่มด้านข้างในการเข้าถึงรายชื่อโปรด
ด้านหลังจะมีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว และไจโรสโคป
เมื่อดูภายในกล่องต่อก็จะพบกับซองใส่คู่มือเริ่มต้นการใช้งาน
สาย Sport Band สีขาวไซส์ S/M ให้เปลี่ยนกับไซส์ M/L จะติดมากับตัวเรือนซึ่งอาจจะใหญ่ไปสำหรับบางคน
มาดูที่ก้นกล่องก็จะพบกับสายชาร์จแบบแม่เหล็กความยาว 2 เมตร
และหัวปลั๊ก USB Power Adapter (5W) แบบเดียวกับ iPhone 6
สำหรับสาย Sport Band นี้ทำมาจากยาง Fluoroelastomer ที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษมีความยืดหยุ่นกว่ายางที่ใช้ทำสายนาฬิกาทั่วไป มีความแข็งแรงทนทานและนุ่มนวลอย่างมาก สวมใส่สบาย
ส่วนการล็อคสายนั้นใช้วิธีการเสียบหมุดแล้วสอดสายแบบง่ายมากๆ
สำหรับการถอดหรือเปลี่ยนสาย Apple Watch ก็ทำได้ง่ายเพียงแค่พลิกด้านหลังตัวนาฬิกาขึ้นมาก็จะเห็นปุ่มกดที่อยู่ด้านบนและด้านล่าง เพียงกดค้างไว้ก็จะสามารถเลื่อนสายออกมาได้ง่ายๆ ส่วนวิธีการใส่นั้นให้นำด้านที่มีขีดโลหะตรงกลางคว่ำลงแล้วเลื่อนเข้าไปก็จะเข้าล็อกพอดี ถ้าใส่แล้วยังเลื่อนออกไปได้แสดงว่าใส่ผิดด้านหรือผิดฝั่งชมได้จากคลิปด้านบน
สำหรับราคาสายนาฬิกาสำหรับ Apple Watch มีให้เลือกทั้งสายแบบ Sport Band ราคา 1,900 บาท สายแบบ Milanese Loop ,สายแบบ Classic Buckle และสายแบบ Leather Loop ราคา 5,900 บาท ,สายแบบ Modern Buckle ราคา 9,500 บาทและสายแบบ Link Bracelet ผลิตจากโลหะผสมสแตนเลสสตีล 316L ราคา 16,900 บาท มีให้เลือกทั้งขนาด 38 มม. และ 42 มม. จำหน่ายในราคาเท่ากัน
ในการใช้งาน Apple Watch นั้นจำเป็นต้องมี iPhone 5, iPhone 5c, iPhone 5s, iPhone 6 หรือ iPhone 6 Plus และติดตั้ง iOS 8.2 ขึ้นไปในการจับคู่อุปกรณ์ในการใช้งาน รวมถึง Apple ID ที่ใช้งานในปัจจุบัน
เมื่อมีพร้อมแล้วให้กดปุ่มด้านข้างที่อยู่ใต้ปุ่มดิจิตอลคราวน์ ของ Apple Watch เป็นการเปิดใช้งานตัวนาฬิกาจากนั้นให้เลือกภาษาที่ต้องการใช้งาน แนะนำให้ตั้งเป็นภาษาไทยเพียงเท่าก็พร้อมใจับคู่กับ iPhone แล้ว
จากนั้นให้เปิดแอป Apple Watch บน iPhone ที่ต้องการจับคู่ใช้งาน โดยหน้าจอ Apple Watch จะแสดงภาพอนิเมชั่น ที่ iPhone ก็จะเปิดกล้องและมีช่องให้ส่องไปยังหน้าจอ Apple Watch ซึ่งเป็นการจับคู่ที่ง่ายแถมไม่ซ้ำใครอีกด้วย
โดยขณะที่จับคู่ iPhone จะต้องใส่ซิมเปิดการใช้งาน Mobile Data เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตหรือ WiFi อยู่ตลอดการจับคู่ เมื่อจับคู่ได้เรียบร้อยแล้วก็จะขึ้นหน้าจอแบบนี้ทั้ง Apple Watch และ iPhone
เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วที่หน้าจอ iPhone จะถามว่าให้ตั้งค่าเป็น Apple Watch เครื่องใหม่ หรือกู้คืนจากข้อมูลสำรองกรณีที่ล้างเครื่องใหม่ ต่อด้วยเลือกว่าสวม Apple Watch ข้างซ้ายหรือขวา จากนั้นใส่รหัส Apple ID อีกครั้งจากนั้นจะแสดงการตั้งค่าใช้งานเบื้องต้นของ Apple Watch ทั้งการใช้งาน GPS ระบุตำแหน่ง,การใช้งาน Siri
การตั้งรหัสผ่านในการปลดล็อคหน้าจอ Apple Watch และเลือกแอพที่รองรับ Apple Watch เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รอ Apple Watch ตั้งค่าตัวเครื่องให้เรียบร้อยและพร้อมใช้งานแล้ว
สำหรับ Apple Watch รุ่นตัวเรือนสแตนเลสสตีลแบบหลอมเย็น 316L แข็งแรงกว่าสแตนเลสสตีลทั่วๆ ไปถึง 80% ในรุ่น 42 มิลลิเมตร ตัวเรือนหนัก 50 กรัม ส่วนในรุ่นเล็ก 38 ตัวเรือนจะหนัก 40 กรัม ซึ่งสวมใส่แล้วให้ความรู้สึกไม่แตกต่างจากนาฬิกาทั่วๆไปในท้องตลาดปัจจุบัน ในบทความต่อไปนี้จะเป็นรีวิวการใช้งาน Apple Watch ในชีวิตประจำวัน ติดตามได้เร็วๆนี้
บทความโดย – www.flashfly.net
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ – http://www.apple.com/th/watch/