หลังจากที่ Apple ได้วางจำหน่าย MacBook รุ่นใหม่หน้าจอ Retina ขนาด 12 นิ้วมาพร้อมสีทองและสีเทาสเปซเกรย์เพิ่มเข้ามาแบบเดียวกับ iPhone 6 ในประเทศไทยผ่านทางร้านค้าออนไลน์ Apple Online Store ไปตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้เวลาจัดส่งนานถึง 3 -4 สัปดาห์เลยทีเดียว แต่ล่าสุดทางตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยอย่าง iStudio ก็ได้นำมาเข้ามาวางจำหน่ายที่หน้าร้านอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมาอย่างเป็นทางการแล้ว โดยสินค้าล็อตแรกมีจำนวนจำกัด ซึ่งในรุ่นความจุ 256GB จะมีเข้ามามากกว่าความจุ 512GB และแน่นอนว่า สีทองคือสีที่ขายดีที่สุดในเวลานี้
โดยในรุ่นที่ทีมงาน @flashfly นำมารีวิวนี้เป็นรุ่นความจุ 256GB สีทองราคา 43,900 บาท ซึ่งตั้งแต่เห็นแพคเกจที่จำหน่ายต้องบอกว่าเลยว่าคล้ายกับของ iPad Air 2 สีทองอย่างมาก เพียงแต่ตัวแพคเกจมีขนาดใหญ่กว่า ที่ข้างกล่องจะมีเพียงโลโก้ Apple และคำว่า MacBook ใช้สีทองตามสีตัวเครื่อง
ด้านหลังจะบอกสเปคและความจุต่างๆของรุ่นนี้
เมื่อแกะออกมาก็จะเห็น MacBook ใหม่วางอยู่อยู่ห่อพลาสติกแบบขุ่นที่ไม่ใช่แบบใสเหมือนในรุ่น MacBook Air หรือ MacBook Pro หน้าจอ Retina
ถัดมาก็จะมีสาย USB-C ความยาว 2 เมตรให้หนึ่งเส้นที่ปลายทั้ง 2 ข้างจะเป็นหัวแบบ USB-C สามารถใช้ MacBook อีกเครื่องมาชาร์จแบตเตอรี่ให้อีกเครื่องได้โดยเครื่องที่เสียบสายก่อนจะเป็นตัวจ่ายไฟให้อีกเครื่อง
คู่มือการใช้งานพร้อมสติกเกอร์โลโก้ Apple สีทอง จากเดิมที่จะแถมเฉพาะสีขาวเท่านั้น
และสุดท้ายที่จะขาดไม่ได้เลยคือ USB-C Power Adapter ขนาด 29 วัตต์
ตัวเครื่องมีขนาดบางเพียง 13.1 มม.และเบากว่า MacBook Air หน้าจอ 11 นิ้วเล็กน้อยโดยมีนำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม (0.92 กก.)
ที่ฝาด้านหน้าจะเห็นได้ว่าตรงโลโก้ Apple นั้นไม่ได้เป็นแบบเรืองแสงตอนใช้งานแบบเดยวกับรุ่นก่อนหน้าแล้ว ซึ่งจะเน้นดีไซน์ไปทาง iPad Air 2 และ iPhone 6 มากยิ่งขึ้น
มาดูที่ด้านข้างตัวเครื่องทางซ้ายจะมีเพียงพอร์ต USB-C เพียงพอร์ตเดียวเท่านั้น ซึ่งข้อดีของพอร์ตนี้คือสามารถเสียบด้านไหนก็ได้ แถมยังรองัรบการใช้งานที่หลากหลายนอกจากใช้ชาร์จแบตเตอรี่ตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นรองรับการเชื่อมต่อ USB 3.0 ขนาดปกติ ต่อออกจอขนาดใหญ่ได้ทั้ง HDMI ,VGA และ DisplayPort แต่ต้องมีอุปกรณ์เสริมที่ต้องซื้อเพิ่ม ซึ่งตอนนี้เริ่มมีจำหน่ายที่ iStudio แล้วหรือจะสั่งผ่านหน้าเว็บ Apple Online Store ก็ ได้
ส่วนทางด้านขวาจะมีเพียงช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.เพียงช่องเดียว รองรับหูฟัง iPhone ที่มีรีโมทและไมโครโฟนอีกด้วย
เมื่อเสียบสายชาร์จเข้าไปก็จะได้ยินเสียงคุ้นเคยแบบเดียวกับบน iPhone และ iPad ไม่มีไฟบอกสถานะว่ากำลังชาร์จอยู่หรือไม่ และไม่ใช้หัวชาร์จแบบแม่เหล็กอีกต่อไปแน่นอนว่ากรณีที่เดินเตะสายอาจทำให้เครื่องตกลงมาได้ ถือได้ว่าเป็นข้อด้อยอีกอย่างของ MacBook ใหม่
เมื่อเปิดฝาขึ้นมาก็จะพบกับหน้าจอ Retina ขนาด 12 นิ้วความละเอียด 2304 x 1440 พิกเซล อัตราส่วน 16:10 ซึ่งค่าเริ่มต้นที่ตั้งมาจะอยู่ที่ 1280x 800 พิกเซล ซึ่งถ้าใครรู้สึกอึดอัดแนะนำให้ปรับเป็นที่ 1440×900 พิกเซล จะมีพื้นที่ใช้งานมากยิ่งขึ้น ที่ตรงกลางขอบด้านบนจะมีกล้อง FaceTime ความละเอียด 480P เท่านั้นเสียดายไม่ใช่แบบ HD แบบของ MacBook Pro Retina
มาดูที่อีกหนึ่งไฮไลท์ของ MacBook รุ่นใหม่นี้คือแป้นพิมพ์ดีไซน์ใหม่มีขนาดใหญ่ขึ้น 17% ปุ่มกดที่พิมพ์แล้วไม่นูนสูงเหมือนรุ่นก่อนๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วในพิมพ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ตรงนี้ใช้แรกอาจจะไม่ค่อยชินมือเท่าไรแต่พอใช้ไปสักพักรู้สึกได้เลยว่าช่วยให้การพิพม์แม่นยำและรวดเร็วกว่าเดิม และมีไฟ LED เวลาใช้งานในที่มืดอีกเช่นเคย
ที่ด้านบนเหนือแป้นพิพม์จะเป็นลำโพงสเตอริโอให้เสียงดังดีที่เดียว สังเกตได้ว่าที่ปุ่มลูกศรซ้ายและขวาทางขวาล่างได้ถูกปรับขนาดมาเป็นแบบเต็มเท่ากับปุ่มอื่นๆแล้ว ส่วนปุ่ม esc ก็ถูกปรับให้ยาวขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีแทร็คแพดแบบ Force Touch ที่รับรู้แรงกดได้ดีกว่าเก่า สามารถใช้การคลิกและกดค้าง การเร่งความเร็วตามแรงกด กวาดนิ้วได้เร็วขึ้น ใช้คำสั่งนิ้วแบบ Muti-Touch ได้ หรือพูดง่ายๆคือทำงานได้รวดเร็วและแม่นกว่าเดิมนั่นเองงานนี้ลืมเม้าส์ไปได้เลย
สำหรับความสามารถด้านการใช้งาน MacBook ใหม่นั้นต้องบอกเลยว่าพกพาสะดวกมากๆ ไม่ต่างจากพก iPad Air 2 ติดตัวไปนอกบ้านแถมแบตเตอรี่ใช้งานได้นานประมาณ 7- 8 ชั่วโมง ( Apple คุยไว้ว่า 9 -10 ชั่วโมง) ซึ่งปริมาณแบตเตอรี่จะลดลงตามลักษณะการใช้งาน (เกิน 5 ชั่วโมง) ที่ประทับใจคงจะเป็นความเงียบที่เหมือนกับใช้งาน iPad เพราะเป็นรุ่นแรกที่ Apple ออกแบบมาแบบไม่มีพัดลมนั่นเอง ส่วนการใช้งานเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นนั้นต้องแนะนำว่าให้ใช้แบบไร้สายจะดีที่สุดอย่างพวกปริ้นเตอร์ ส่วนการนำแฟลชไดร์ฟหรือฮาร์ดดิสก์พกพามาเชื่อมต่อใช้งานนั้นต้องซื้ออุปกรณ์เสริมมาใช้งานเพิ่มเติมอีก 690 บาท หรือพูดง่ายๆว่าตอนนี้พอร์ต USB-C ของ MacBook ใหม่มีไว้สำหรับชาร์จแบตเตอรี่เท่านั้น ซึ่งภายในปีนี้จะเริ่มแฟลชไดร์ฟที่รองรับ USB-C ทยอยเข้ามาจำหน่าย
ระบบปฎิบัติการในตัวเครื่องเป็น OSX Yosemite เวอร์ชั่น 10.10.3 ซีพียู Intel Core M รุ่นที่ 5 ที่ใช้พลังในการทำงานแค่เพียง 5 วัตต์ ความเร็ว 1.1GHz แรม 8GB การ์ดจอเป็น Intel HD 5300 สำหรับฮาร์ดดิกส์ความจุ 256GB นี้สามารถใช้งานได้เต็มที่ 232.71GB โดยตัวเครื่องจะมีโปรแกรมต่างๆติดตั้งเข้ามาใช้พื้นที่ประมาณ 17GB ถ้าโปรแกรมไหนไม่ค่อยได้ใช้งานก็สามารถลบออกได้ภายหลัง ส่วนคุณสมบัติอื่นๆนั้นในต่างประเทศมีการทดสอบนำ Power Bank ที่ชาร์จมือถือมาชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ MacBook ใหม่ก็ถือว่าใช้ได้แต่ต้องดูรุ่นมีมีแรงดันไฟมากพอ
นอกจากนี้ยังสามารถนำสาย USB-C ที่แถมมาในชุดจำหน่ายมาชาร์จไฟให้ระหว่างเครื่อง MacBook หรืออุปกรณ์อื่นที่มีพอร์ต USB-C กันได้อีกอีกด้วย โดยเครื่องแรกที่เสียบสายจะเป็นตัวปล่อยกระแสไฟให้เครื่องเสียบทีหลัง สามารถใช้งานทดแทน Power Bank ไปได้ในบางกรณี
สำหรับความคิดเห็นของทีมงาน @flashfly นั้นมองว่า MacBook ใหม่นี้ราคาที่ค่อนข้างแพงไปสักหน่อยแต่ดีไซน์สวยงาม บางเบาจริงๆ เน้นพกพาไปนอกบ้านหรือนำไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆเพราะมีน้ำหนักเบาและเหมาะสำหรับการใช้งานเป็นเครื่องที่ 2 มากกว่าจะเป็นเครื่องหลักเนื่องจากพอร์ต USB-C ที่ยังถือว่าใหม่มากๆในตลาดขณะนี้ ทำให้ค่อนข้างมีข้อจำกัดในการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆพอสมควร
ข้อด้อยของ MacBook ใหม่นี้ที่ค่อนข้างซีเรียสหน่อยก็คือก็คือการเชื่อมต่อหรือชาร์จ iPhone หรือ iPad กับ MacBook ไม่สามารถทำได้ทันทีต้องใช้อุปกรณ์เสริมแปลงพอร์ต USB-C เป็น USB ธรรมดาเสียก่อนราคา 690 บาท แถมยังสามารถใช้งานได้ทีละอย่างเท่านั้น ไม่สามารถชาร์จตัวเครื่อง MacBook ไปพร้อมๆกับชาร์จ iPhone ได้เพราะพอร์ต USB-C มีช่องเดียว ซึ่งนอกจากต้องเสียเงินเพิ่มแล้วยังต้องพกพาติดตัวไว้ตลอดเวลาอีกเช่นกัน หวังว่าในอนาคต Apple ก็น่าจะทำสาย Lightning ที่รองรับ USB-C ออกมา
โดย Apple ก็แก้ปัญหาตรงจุดนี้ด้วยจำหน่ายอุปกรณ์เสริมที่จะต่อจอออกทีวีด้วย USB Type-C to USB Standard-A Plug Cable ราคา 2990 บาท ที่จะมาพร้อมพอร์ต 3 พอร์ต ทั้ง USB-C , HDMI และ USB ขนาดปกติ (จะมีริวิวต่อไป)
สำหรับใครที่ไม่ติดทางด้านราคาและข้อจำกัดต่างๆชื่นชอบในความสวยงามและเบาบางของ MacBook ใหม่นี้ แล้วก็เป็นสาวก Apple ตัวยงก็สามารถเป็นเจ้าของกันได้แล้ววันนี้ที่ร้าน iStudio และตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple ตามห้างชั้นนำ (แนะนำให้ลงชื่อจองไว้ล่วงหน้าเพราะสินค้ายังมีจำนวนจำกัด) มีให้เลือก 2 ความจุ 256GB และ 512GB ส่วนสีก็มีให้เลือก 3 สีเงิน ทอง และเทาสเปซเกรย์แบบ iPhone 6 หรือ iPad Air 2 เลยทีเดียว
บทความโดย – www.flashfly.net