ซีเอสซี บริษัทค้าปลีกสินค้าไอทีและสมาร์ทดีไวซ์ชั้นนำของเมืองไทยจับมือสองยักษ์ใหญ่ แห่งโลกไอที อินเทลและไมโครซอฟท์ เปิดตัว CSC WISEBOOK แท็บเล็ตไทยบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมมุ่งยกระดับมาตรฐานสินค้า สมาร์ทดีไวซ์ของไทยให้เทียบขั้นอินเตอร์แบรนด์
นายพิชัย นีรนาทโกมล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คอมพิวเตอร์ ซีสเท็ม คอนเน็คชั่น อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (ซีเอสซี) กล่าวเปิดเผยว่า “บริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับสองบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกไอทีได้แก่ อินเทล และไมโครซอฟท์ในการพัฒนาสินค้าแท็บเล็ตที่เป็นเฮาส์แบรนด์ของซีเอสซี โดยใช้ชื่อว่า CSC WISEBOOK (ซีเอสซี ไวส์บุ๊ค) ซึ่งจะออกวางขายอย่างเป็นทางการ พร้อมกัน 3 รุ่น ได้แก่ AU802T, AU891T และ AU101T ในราคาต่ำกว่าหมื่นบาท ในวันที่ 27 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ที่ร้านสาขาซีเอสซี กว่า 150 แห่งทั่วประเทศ”
ซีซาร์ เซอร์นูดา ประธาน ไมโครซอฟท์ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เปิดเผยว่า “ไมโครซอฟท์ ดำเนินธุรกิจใน ประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี การประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญในครั้งนี้ ระหว่างไมโครซอฟท์ ซีเอสซี และ อินเทล ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ในการเป็น “พันธมิตรที่ดีต่อประเทศไทย” การเปิดตัวแท็บเล็ต CSC WISEBOOK เป็น “แท็บเล็ตแบรนด์ไทย มาตรฐานโลก” บนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8.1 พร้อม Office 365 Personal ครั้งแรกใน ประเทศไทย ซึ่งช่วยส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการในประเทศไทยให้แข็งแกร่ง พร้อมสร้างการเติบโตให้กับ เศรษฐกิจไทย ไมโครซอฟท์มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ดิจิตอลทั้งการทำงานและไลฟสไตล์ให้กับผู้บริโภคด้วย แท็บเล็ต CSC WISEBOOK ผู้บริโภคในประเทศไทยจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมในการใช้งาน ทั้งเรื่อง การทำงานและความบันเทิงบนระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดที่จะให้ทั้งความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวสูง อย่างวินโดวส์ 8.1 และ Office 365 Personal
ปรากาช มัลลยา ผู้อำนวยการ อินเทลภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “อินเทลมีความมุ่งมั่นที่จะ สร้างสรรค์เทคโนโลยี เพื่อให้อุปกรณ์อัจฉริยะที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำงานได้ดีที่สุดบนแพลตฟอร์มของ อินเทล และการเปิดตัว CSC WISEBOOK ในวันนี้ ซึ่งเป็นแท็บเล็ตแบรนด์ไทยรุ่นแรกที่ใช้ อินเทล® อะตอม™ โปรเซสเซอร์แบบคว๊อดคอร์ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นความมุ่งมั่นของเราได้เป็นอย่างดี โดยแท็บเล็ต CSC WISEBOOK ที่มีอินเทล® อะตอม™ โปรเซสเซอร์ Z3735 และใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8.1 จะให้ประสิทธิภาพ ที่ลงตัวในด้านการใช้งานแบตเตอรี่และคุณภาพกราฟฟิกที่ดีเยี่ยม เหมาะสมกับการใช้งานเพื่อ ความบันเทิงและการทำงานได้อย่างลงตัว”
นอกจากระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8.1 แล้ว CSC WISEBOOK ยังให้ผู้ซื้อได้ใช้ Office 365 Personal ฟรี 1 ปี (ราคาปกติ1,899 บาท) ทันทีที่แกะกล่อง ทั้งยังมาพร้อมกับ OneDrive แบบไม่จำกัดการใช้พื้นที่จัดเก็บ ผู้ใช้จึงสามารถเก็บข้อมูล ทุกอย่างบนคลาวด์ติดตัวไปได้เสมอทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องห่วงว่าพื้นที่จัดเก็บจะเต็ม และยังสามารถซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ ต่างๆ ที่ผู้ใช้มีอยู่ นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถโทรผ่าน Skype ได้ฟรี 60 นาทีต่อเดือน ไปยังกว่า 60 ประเทศทั่วโลก
CSC WISEBOOK เป็นแท็บเล็ตในระบบปฏิบัติการวินโดวส์ที่เป็นโลคอลแบรนด์เครื่องแรกของ ประเทศไทย ที่สามารถเชื่อมต่อ 3G ได้ และมีราคาคุ้มค่าที่สุดในตลาดขณะนี้ ผู้ใช้จะเต็มอิ่มกับประสบการณ์ ชีวิตออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ในทุกที่ที่พกพา CSC WISEBOOK ไปด้วย และด้วยแพ็คเกจการ ใช้บริการ 3G Unlimited 1.5 Gb จากเอไอเอส นานถึง 12 รอบบิล ในราคาต่อเดือนเพียง 249 บาท
สำหรับราคาสินค้า CSC WISEBOOK รุ่น AU802T จะเปิดตัวในราคา 6,990 บาท รุ่น AU891T ราคา 8,990 บาท และรุ่น AU101T ราคา 9,999 บาท
นายพิชัย กล่าวต่อว่า “การที่ซีเอสซีได้รับความไว้วางใจจากอินเทลและไมโครซอฟท์นั้นเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพ ของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี ด้วยประสบการณ์ในวงการไอทีและโมบายของเมืองไทยนานกว่า 30 ปี มีเครือข่ายร้าน ซีเอสซีมากกว่า 150 สาขาทั่วประเทศ มีระบบบริการหลังการขายที่มีคุณภาพและรวดเร็ว ทำให้ทั้ง สองพันธมิตรมี ความมั่นใจในซีเอสซีว่าจะสามารถสร้างแบรนด์ CSC WISEBOOK ที่เป็นแท็บเล็ตอินเทล อินไซด์ บนวินโดวส์ แพลตฟอร์มให้ติดตลาดและขยายความนิยมต่อไปในทุกกลุ่มลูกค้าผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยในช่วงเปิดตัวนี้ ทางบริษัทฯ ได้จัดเตรียมงบการตลาดเพื่อปั้นแบรนด์และกระตุ้นยอดขาย CSC WISEBOOK ในช่วง 6 เดือนแรก อยู่ที่ 70 ล้านบาท ซึ่งรวมไปถึงการผลิตภาพยนตร์โฆษณาในชื่อ Work as Play ที่มี นาวิน เยาวพลกุล หรือ นาวิน ต้าร์ เป็นพรีเซนเตอร์ และออกอากาศพร้อมกับการเปิดขาย CSC WISEBOOK ในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้
“นอกจากนี้ การที่ยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างอินเทลและไมโครซอฟท์เข้ามามีส่วนร่วมกับพันธมิตรที่เป็นโลคอลใน การพัฒนาสินค้ายังช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าโลคอลแบรนด์ให้มีศักยภาพสูงขึ้น มีคุณสมบัติทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ที่เพียบพร้อมทัดเทียมกับอินเตอร์แบรนด์ ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดคึกคักมากยิ่งขึ้น ผู้บริโภคมี โอกาสเลือกสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่สามารถจับต้องได้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์สินค้าแบรนด์ ของคนไทยให้ดูดี มีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญ ยังมีส่วนในการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยที่สนใจ สร้างเฮาส์แบรนด์คุณภาพของตัวเองหันมาลงทุน เกิดการสร้างงานในด้านต่างๆ พัฒนาบุคลากร ทั้งด้านเทคนิค ด้านการตลาด ด้านการบริการ สุดท้าย การที่ผู้ประกอบการไทยมีเฮาส์แบรนด์ของตัวเองที่มีคุณภาพมาตรฐาน ระดับโลกยังช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในยุค AEC ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า” นายพิชัย กล่าวสรุป